วันพุธที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๐

Chapter VI: Back at One

Chapter VI: Back at One
‘ไอ้หนูมาดนิ่ง (ไหลลึก) สยบก๊วนคนหน้าเป็น’

บ่ายสองโมงของวันอังคาร...คือช่วงเวลาที่คนทำงานในเมืองไทยหลายคนกำลังหนังท้องตึง หนังตาหย่อน แต่อีกฟากของโลกกลม ๆ กลับเป็นช่วงเวลาที่ใครบางคนควรเข้านอน...แต่เธอเลือกที่จะนั่งฮาและส่งเสียงจ้ะจ๋าผ่านเอ็มออนไลน์

KookKa : ยิ้ม (^-^) สวัสดีตอนบ่ายพี่ ๆ ทุกคน
Sydney : สวัสดียามค่ำคืนจ้ะกุ๊กก้า
TingTing : ดีน้องมหา =o=
Ticket : ดีครับน้อง...โย่
Alfa : ไหว้พระเถอะ ท่านมหา
เกี๊ยวกุ้ง : ดีค่ะ พี่กุ๊กก้า
Arther : ^o^ ดีครับ น้อง ๆ
KookKa : ยิ้ม (^-^) ดีนะที่พี่ ๆ พิมพ์ถูก ถ้าพิมพ์ผิดกุ๊กก้าไม่อยากนึกเลย
TingTing : อ๋อ...ไม่เป็นไร พี่พิมพ์ถูกอยู่แล้วน้องหมา เอ๊ย! มหา ^_^
Alfa : ใช่ ๆ พี่นะไม่เคยพิมพ์ผิดอยู่แล้วท่านมหาไม่ต้องกลัว หุหุ
KookKa : อ่านะ...

ขณะนั้นเองกุ๊กก้าได้แต่คิด...
‘ตูไม่เคยเชื่อพวกพี่ ๆ เลย และนี่ยิ่งไม่น่าเชื่อใหญ่ พวกพี่ ๆ นี่ชอบพูดอะไรชวนให้คิดว่าไม่ใช่เรื่องจริงสักที เผลอ ๆ โดนอำแทน เฮ้อ’
นึกแล้วก็ถอนใจเอามาเบา ๆ ตามด้วยรอยยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย...เล็กน้อยเท่านั้นต่างกับดวงตาที่สั่นระริกขึ้นมาอย่างชอบใจ เมื่อนึกถึงเรื่องของตนยามที่พี่ ๆ ก๊วนซ่าและแสบโอดครวญขึ้นมา...เมื่อเจอมุกย้อนศร...หักกลับเข้าตัว...

ภาพใบหน้าของพี่ ๆ แต่ละคน...ล้วนบ่งบอกถึงอารมณ์ในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี...ตอนที่พี่ ๆ ทุกคนตกลงพร้อมใจกันให้ชีพจรลงเท้า...นำทาง...พาตัวกับหัวใจมาพบกุ๊กก้า...ไอ้หนูผู้มีใบหน้านิ่งเฉยเป็นอาวุธ ใช้สยบต่อมหน้าเป็นของพี่ ๆ ทุกคนให้จอดไม่ต้องแจวได้เป็นระยะ ๆ ในยามที่ทุกคนเผลอ

ก่อนหน้านั่น...
ก่อนที่กลิ่นหอมของดอกมิตรภาพจะเบ่งบาน...และกว่าที่กลิ่นสุขสันต์จากคำว่ามิตรภาพจะฟุ้งกระจายรอบตัวได้นั่น...หากไม่มีใครบางคนโยนเมล็ดมิตรภาพลงไปในผืนบอร์ดนิยายเป็นการปูทาง...และหากไม่มีใครสักคนเข้ามาช่วยกันพรวนดินด้วยการขีดเขียนถามไถ่ ดอกและผลของคำว่ามิตรภาพคงไม่โชยกลิ่นหอมเฉกเช่นนี้

เฉกเช่นมิตรภาพแรกพบที่บังเกิดขึ้น...เกิดจากเกี๊ยวกุ้งและพี่ซิดนีย์ช่วยกันฉุด ช่วยกันดัน และสุดท้ายก็ดึงกุ๊กก้ามาทำความรู้จัก พูดคุยกันผ่านทางเอ็มฯ ออน์ไลน์...ตามด้วยการอำแบบขำ ๆ ที่ทำให้มาเฟียวัยรักอย่างโอปอลต้องแค้นฝั่งหุ่น...

KookKa : สวัสดีค่ะ พี่ติงติง พี่ทิคเก็ต พี่โอปอล
TingTing, Ticket, Opal : หวัดดีค้าบ...
เกี๊ยวกุ้ง : ~ _ ~ ฮิฮิ เกี๊ยวกุ้งพาพี่กุ๊กก้ามารู้จักค่ะ อีกไม่กี่วัน...พี่กุ๊กก้าจะพาเกี๊ยวกุ้งไปดูหอพักค่ะ
Opal : ทำไมเกี๊ยวกุ้งต้องหาหอพักด้วยล่ะ ในเมื่อพี่ติงติงกับพี่ทิคเก็ตบอกว่ากุ๊กก้าเป็นพี่ของเกี๊ยวกุ้งไง
กุ๊กก้า : อ่านะ... ยิ้ม
^o^
เกี๊ยวกุ้ง : คือว่า...พอดีบ้านของพี่กุ๊กก้าน่ะ อยู่ไกลจากหลังมหา’ลัยมาก ๆ ค่ะ เกี๊ยวกุ้งเลยต้องหาหอพัก

(T_T)![ฮือ ๆ จำใจอำพี่โอปอลตามแผนของพี่ทิคเก็ตนะเนี่ย ฮือ ๆ]
Opal : จริงเหรอ...แน่นะ...(o_o’)
Ticket : อ๋อ...แน่สิ \\(*O*)//
กุ๊กก้า : อ่านะ...ยิ้ม (^-^)
Opal : อือนะ...แต่น่าแปลก พี่น้องกันก็น่าจะอยู่ด้วยกันน้า ว่ามั้ยพี่ติงติง
TingTing : อือ...ใช่ สองคนนั้นเป็นพี่น้องกันนี่นา เนอะ หุหุ

นี่เพียงแค่บทเริ่มต้นของการรู้จัก...
กุ๊กก้าก็เนียนทำโง่ตาใส...ร่วมวงศาคณาญาติช่วยกันอำ แต่หลังจากความลับถูกเปิดเผย...กุ๊กก้าก็เปลี่ยนไป...เมื่อโดนพวกพี่ ๆ อำเข้าให้บ้าง...แต่ทุกครั้งก่อนจบการสนทนา แยกย้ายกันไปทำงานพวกพี่ ๆ ก็ต้องเก็บความแค้นฝั่งหุ่นเอาไว้ต่อยอดแก้คืนในวันถัดไป...เมื่อไอ้หนูกุ๊กก้าแทงมุกอำให้ทะลวงเข้าทรวงของพี่ ๆ เฉกเช่นซีรีส์ขำ ๆ ฮา ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้

*************** (*o*) ************

“กุ๊กก้า...เดี๋ยวพวกพี่ ๆ จะขึ้นไปแอ่วเหนือนะ...ขอค้างกับกุ๊กสักคืนได้ไหม” เสียงเอ่ยถามดังมาจากปลายสาย

“ได้พี่ มากันกี่คน เมื่อไหร่ เดี๋ยวกุ๊กก้าจะวางแผนการเที่ยวว่าจะพาพวกพี่ ๆ ไปเที่ยวที่ไหนบ้างดีไหมพี่”

‘ดีน้องดี...วางโปรแกรมเที่ยวเสร็จแล้วส่งเมล์มาให้พี่นะ...อัลฟ่าเดินทางขึ้นไปก่อน แต่รู้สึกเขาจะค้างโรงแรมน่ะ แต่จะยังไงนั้นเดี๋ยวอัลฟ่าคงโทรหากุ๊กก้าเองน่ะ ส่วนพี่กับทิคเก็ตจะเดินทางตามไปสมทบอีกวันนะ และก็ขออาศัยชายคาบ้านกุ๊กก้านอนด้วยคนนะ’

“อือ ได้พี่ได้ ถ้างั้นเดี๋ยวกุ๊กก้าจะทำการต้อนรับขับสู้พี่ ๆ เป็นอย่างดีเลยไม่ต้องห่วง” น้ำเสียงเริงร่าดังตามมาอีกครั้ง และก่อนจะวางสายไอ้หนูกุ๊กก้าก็ยังมิวายเจอมุกกวนโอ๊ยจากคนที่สนทนาด้วย

‘อือ พี่ดีใจ๊ ดีใจนะถ้ากุ๊กก้าจะต้อนรับพี่ แต่ไม่ต้องถึงกลับขับและสู้กับพวกพี่หรอกนะ คือว่าพวกพี่ ๆ น่ะ กะไปเที่ยวและเฮฮากับกุ๊กก้าน่ะ ไม่ได้จะไปรบกับกุ๊กก้าสักหน่อย น่านะ แค่ต้อนรับก็พอนนะน้องนะ แค่นี้นะ บ๊ายบาย’

หลังจากพี่ ๆ วางสายไปแล้วไอ้หนูกุ๊กก้าก็เริ่มวางโปรแกรมเที่ยว...หนึ่งวันแรกสำหรับพี่อัลฟ่า ตามด้วยวันที่สองของพี่อัลฟ่าแต่เป็นวันแรกของพี่ทิคเก็ต...จากนั้นจึงคลิกส่งโปรแกรมนั้นไปยังพี่ ๆ ทั้งสาม

เมื่อคนรับทั้งสามเห็นโปรแกรมการท่องเที่ยวแดนเหนือของไอ้หนูกุ๊กก้าแล้ว...ชีพจรลงเท้าก็เริ่มขึ้น

ณ. ตอนเหนือของประเทศไทย

ตู๊ด...ตู๊ด ๆ...ๆ (*=_=) ทำไมเพื่อนไม่รับสายหว่า...หรือว่ามันตกรถหว่า...ไม่น่านะ

‘โมชิ๊ โมชิ นายโทรมาตอนรถเทียบท่าพอดีเลยว่ะ’ เสียงร่าเริงกรอกดังกลับมาทันทีที่รับสาย

“โห เทียบท่าเลยเหรอ...รถก็ตรงเวลานี่หว่า แล้วกุ๊กก้ามารับหรือยังวะ” เสียงคนโทรหาดังสวนกลับมาทันที

‘มาแล้ววะ ...แป๊บนะ’

“เออ หวัดดีน้องกุ๊กก้า นี่พี่กำลังคุยกะพี่ติงอยู่ แป๊บนะ”

‘โห...มาถึงก็ตรงรี่เข้ามาแย่งกระเป๋าจากมือเลยวะ อือ...ทำตัวอย่างกับเด็กหิ้วกระเป๋าเลยวะ ฮะฮ่า’ หลังจากหันไปทักทายไอ้หนูกุ๊กก้าแล้วก็หันมาคุยโทรศัพท์ต่อ

“เอ้าก็ดีแล้วนิ...น้องมารับก็ดีแล้ว งั้นเดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้นะ”

เสียงคนโทรยังคงดังกลับมาเช่นเคย แต่น้ำเสียงงัวเงียเต็มที...นี่อุตส่าห์ตั้งนาฬิกาให้ปลุกเพื่อโทรเช็กว่าเพื่อนถึงตอนเหนือของประเทศไทยโดยสวัสดิภาพไหม...ด้วยกลัวเพื่อนที่ชื่ออัลฟ่าจะถูกจับไปขายเป็นเด็กต่างด้าว...แถวย่างกุ้ง

‘เออ ๆ เดี๋ยวให้กุ๊กก้าพาไปที่พักก่อน แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะเพื่อน’ เสียงตอบกลับมาอีกครั้งก่อนจะวางสาย

จากนั้นสามชีวิตก็เดินหิ้วกระเป๋าเดินตามกันไป จุดหมายปลายก็คือ รถนิสสันสีแดงรุ่นเก่าที่เจ้าของสุดรักสุดหวง แต่ก็ตัดใจติดประกาศขายราคาย่อมเยาอยู่หลังรถ


คงเพราะแผ่นติดประกาศขายนี่กระมังที่ทำให้ไกด์อย่างกุ๊กก้าต้องทำหน้างง ๆ กึ่งขำ ๆ เมื่อเห็นพี่อัลฟ่า คนเมืองกรุงที่เดินตามหลังมา จู่ ๆ ก็เดินแซงขึ้นหน้าตรงดิ่งไปยังรถวอลโว่สีแดงแสนโก้เก๋ที่จอดเคียงข้างนิสสันรุ่นน้องโบฯ อย่างไม่สนใจว่าไกด์นำทางอย่างกุ๊กก้าจะพาไปยังรถคันไหน

“เอ่อ...พี่อัลฟ่า...รถกุ๊กก้าคันนี้พี่ คันนี้ ไม่ใช่วอลโว่พี่ พี่อัลฟ่าจะอยากไปรถวอลโว่เหรอ” เจ้าของรถนิสสันพูดกึ่งยิ้มกึ่งขำขณะวางกระเป๋าเดินทางของพี่ ๆ ไว้ที่เบาะหลังรถ ส่วนคนถูกทักหันหลังกลับทันทีพลางทำหน้าเหลอหลา ก่อนจะยิ้มร่าตามสไตล์

“เอ้า ไอ้รถประกาศขายนี่เหรอของกุ๊กก้า โธ่โถ พี่ก็นึกว่าวอลโว่คันโก้คันนี้เห็นสีแดงเหมือนกัน ฮ่าๆ ปะไปกันเตอะ”

ไม่เพียงยิ้มร่ากลบเกลื่อนอาการหน้าแตก แต่คนพูดยังอุตส่าห์พูดไหลลื่นไปอีกทาง ก่อนจะรีบพาตัวเองขึ้นไปนั่งยิ้มหน้าเป็นอยู่เบาะหลังรถ โดนมีพลขับอย่างกุ๊กก้าเข้าประจำที่คนขับ และคุณพี่คนสวยที่มาพร้อมอัลฟ่าเข้าประจำตำแหน่งตรงเบาะหน้า

“หึ ๆ พี่อัลฟ่าชอบรถวอลโว่เหรอ ถึงได้ตรงดิ่งไปที่คันนั้นน่ะ” เสียงถามเยือกเย็นตามแบบฉบับของไอ้หนูกุ๊กก้าดังมาพร้อมกับใบหน้าที่เรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มปรากฎที่มุมปากเพียงเล็กน้อย

“หือ ? เปล่าหรอกเพียงแต่พี่เห็นท้ายรถคันนี้ประกาศขาย พี่ก็ไม่นึกว่าจะใช่ไง ว่าแต่กุ๊กก้าจะขายรถทำไมล่ะ ในเมื่อรถคันนี้พี่ก็เห็นว่ายังดีอยู่เลย มีเครื่องเล่นซีดีเสียด้วย แม้จะดูโบฯ ไปนิดก็เถอะ” อัลฟ่าเอ่ยถามด้วยความสงสัย...ขณะเดียวกันก็ยื่นหน้าผ่ากลางผ่านช่องว่างระหว่างเบาะหน้าไปมองใบหน้านิ่งๆ ที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ของคนขับ

“อือ...มะรืนนี้กุ๊กก้าจะถอยรถคันใหม่มารับพี่ ๆ ไปเที่ยวไง ครั้นจะปล่อยให้รถคันนี้จอดไว้เฉย ๆ ก็ไม่ได้ทำอะไร สู้ขายเอาเงินมาโปะค่าผ่อนคันใหม่จะดีกว่า” เสียงเนิบ ๆ เรื่อย ๆ ยังคงดังออกจากปากคนขับโดยมีสายตาสองคู่มองใบหน้าคนขับเป็นจุดเดียว...พลางนึกและทึ่งในความนิ่ง ๆ แต่วาจาคมลึกของไอ้หนูกุ๊กก้า

“ทำไมเป็นวันมะรืนล่ะ” อัลฟ่ายังคงถามหน้าเป็น ขณะที่คนตอบก็ทำหน้าที่ตอบแบบหน้าตาย

“เพราะวันมะรืนฤกษ์ดีสำหรับการออกรถน่ะพี่”

‘(O_O)! โอ้...ฤกษ์ดี อือ...(_ _)(- -)(_ _) เห็นด้วย...หากวันไหนฤกษ์ดีก็ควรออกวันนั้นจะได้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่เจ้าของรถ’

เสียงพูดในใจของอัลฟ่า กับอากัปกิริยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะหันไปยิ้มอย่างเห็นด้วยในความคิดนี้กับคุณพี่คนสวย แล้วมองเลยออกนอกกระจกหน้ารถพลางยิ้มแฉ่ง...และนึกถึงโปรแกมเที่ยวของวันนี้

เวลา 06.00 น. ของเช้าวันใหม่

“กุ๊กก้า พี่ว่าพี่ใกล้ถึงแล้วนะ”

เสียงดังมาตามสายโทรศัพท์ปลุกให้คนรับถึงกับดีดตัวขึ้นจากที่นอน...

‘ตอนนี้พี่ถึงไหนแล้ว’

“อือ ไม่รู้เหมือนกันน้อง พี่รู้แต่ว่า เขาปลุกให้พวกพี่ตื่นด้วยเสียงเพลงน่ะ ถ้าปลุกแบบนี้น่าจะเข้าใกล้ตัวเมืองแล้วน้า”

เสียงปลายสายยังคงดังกลับมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สายตากำลังเพ่งมองผ่านกระจกรถทัวร์ที่มีฝ้าเกิดจากไอความร้อนภายในรถกับนอกรถปะทะกัน ภาพสลัวมัว ๆ ที่เกิดจากหมอกและไอฝนที่อยู่นอกบานกระจกรถทัวร์นั้นทำให้คนเพ่งมองที่ดูเหมือนจะเมาขี้ตาต้องขยี้ตาเพ่งอีกครั้ง แต่ไม่ทันจะได้บอกว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เสียงกุ๊กก้าก็ดังแทรกขึ้นมา

‘พี่ งั้นเดี๋ยวกุ๊กก้าขอเวลาล้างหน้า แปรงสีฟันกับอาบน้ำก่อนนะ อีก 30 นาทีกุ๊กก้าจะไปรับ รถคงเข้ามาพอดี’

“อือ ได้ ๆ”

30 นาทีผ่านไป...
สองชีวิตผู้มีใบหน้าคลับคล้ายเด็กไทลื้อกับเด็กดอยเต่าต่างนั่งทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อไอ้หนูกุ๊กก้ามารับ...

45 นาทีก็แล้ว...เด็กไทลื้อทนรอต่อไปไม่ไหว หันหน้าไปมองเด็กดอยเต่า

“ทิคเก็ต พี่รอต่อไปไม่ไหวแล้ว ไปละ ฝากกระเป๋าด้วยนะ”
(O_O+)

“ไปไหนพี่”

“ไปส้วมวะ”

เสียงตอบดังกลับมาพร้อมกับร่างเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ โดยมีดวงตาปรือ ๆ ของเด็กดอยเต่ามองตาม ก่อนจะชิ่งเดินไปร้านขายหนังสือพิมพ์ซึ่งอยู่อีกทาง

50 นาทีผ่านเข้ามา...พร้อมกับไอ้หนูร่างแบบบางเดินกระหืดกระหอบเข้ามาหาตามด้วยอาการยกมือไหว้ จากนั้นก็ตรงดิ่งเข้าหิ้วกระเป๋า...

‘เป๊ะ เหมือนอย่างที่อัลฟ่าบอกเป๊ะ...ไอ้หนูกุ๊กก้าหารายได้พิเศษด้วยการเป็น เด็กหิ้วกระเป๋า’ เสียงเด็กไทลื้อพูดพึมพำในใจคนเดียว แต่ใบหน้ายิ้มตาหยี (เพราะเป็นแป๊ะยิ้ม ฮ่าฮ่า)

“พี่ ๆ ขอโทษด้วยที่กุ๊กก้ามาช้า”

“บ่ ๆ เป็นหยังดอกน้อง” ทิคเก็ตตอบพลางสะพายเป้ขึ้นบ่าแล้วเดินเคียงข้างกุ๊กก้าไป โดยมีเด็กไทลื้อเดินตามมาติด ๆ กับการพูดคุยถึงโปรแกรมการเที่ยวในวันนี้

“เดี๋ยวกุ๊กก้าจะพาพี่ ๆ ไปบ้านของเกี๊ยวกุ้งก่อน ให้พี่ ๆ ได้อาบน้ำอาบท่าที่นั่นก่อน จากนั้นพวกเราค่อยตามไปสมทบกับพี่อัลฟ่าที่บ้านพักของพี่เขาดีไหมพี่ ๆ” กุ๊กก้าเอ่ยถามพลางมองหน้าพี่ ๆ ที่ตอนนี้ขึ้นมาเดินขนาบเคียงข้างกับตนแล้ว และเสียงตอบรับจากพี่ ๆ ก็คือ อาการพยักหน้า ขณะเดียวกันมือป้อม ๆ นิ้วสั้น ๆ ของทิคเก็ตก็กดโทรศัพท์หาพี่อัลฟ่าทันที

“พี่อัลฟ่าครับ ตอนนี้ทิคเก็ตกับพี่ติงติงอยู่ตอนเหนือของขวานทองแล้วนะครับ พี่อัลฟ่าตื่นได้แล้ว เดี๋ยวพวกเราจะตามไปสมทบครับ”

หลังจากวางสาย น้ำเสียงตะแหง่ว ๆ ของทิคเก็ตยังคงเจื้อยแจ้วต่อไป จนกระทั่ง...ไอ้หนูกุ๊กก้าขับรถพามาถึงหอพักสุดหรูหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เสียงตะแหง่ว ๆ ของทิคเก็ตก็เงียบลง...อีกครั้ง

(หมายเหตุ :ตะแหง่ว ๆ หมายถึง จ้อไม่หยุด คุยไม่เลิก กวนไม่สร่าง ซ่าตลอด [ครับพี่น้อง])

“สวัสดีค่ะพี่ติงติง พี่ทิคเก็ต พี่กุ๊กก้า”


เสียงแหลมใสเจ้าของห้องพักเอ่ยทักอย่างแช่มชื่นเช่นเดียวกับใบหน้าที่โผล่ออกมาจากประตูหน้าห้อง พร้อมกับอากัปกิริยายกมือไหว้ ส่วนเจ้าของรายนามที่เอ่ยมาออกมานั้นก็ยกมือขึ้นรับไหว้ตอบแทบไม่ทัน เพราะกำลังเหลียวซ้ายแลขวามองสำรวจความเป็นหอพัก
รอยยิ้มกว้างกับหน้าเด๋อ ๆ ด๋าๆ ของพี่ ๆ ที่มาจากเมืองกรุงสองคน กลายเป็นเด็กต่างด้าวในสายตาของเด็กเมืองเหนืออย่างเกี๊ยวกุ้งกับกุ๊กก้าขึ้นมาทันที...ซึ่งความคิดนี้ก็ไม่ต่างกับความคิดของพี่ ๆ ทั้งสองตอนที่เกี๊ยวกุ้งระเห็จขึ้นไปชมเมืองกรุงเลยสักนิด


“ตามสบายเลยนะคะพี่ ๆ คิดซะว่าห้องเกี๊ยวกุ้งก็เหมือนบ้านของพี่ ๆ นั่นแหละค่ะ” เจ้าของห้องพูดขณะที่นัยน์ตายิ้มแฉ่งไม่ต่างกับใบหน้าของพี่ ๆ ทุกคน และขณะนั้นเอง

“อูย ห้องน้องก็เหมือนบ้านพี่ งั้นพี่ก็เข้าส้วมก่อนละกัน ได้เวลาปล่อยโลมาแล้ว”

พูดจบวายร้ายทิคเก็ตก็วิ่งพรวดเข้าห้องน้ำ...แล้วก็เงียบหายไปกับการปล่อยโลมา ส่วนพี่อีกคนก็ถลาตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง...หากไม่ติดว่ามีโปรแกรมเที่ยว เจ้าตัวคงขอตัวเข้าเฝ้าพระอินทร์ด้วยการหลับอุตุต่อ และขณะนอนแผ่หลา นัยน์ตาสลึมสะลือ เสียงแหลมใสกับเสียงทุ้มนุ่มของเจ้าถิ่นก็ปลุกให้คนนอนลุกพรวดขึ้นมานั่งขอบเตียง

“ฮิฮิ พี่ติงติงคะ พี่ซิดนีย์ทักมาแน่ะ นี่เกี๊ยวกุ้งเปิดกล้องเวบแคมด้วยนะ มาเร็วมาโชว์ตัวให้พี่ซิดนีย์ที่อยู่ต่างแดนเห็นหน่อย”

(=o=!) ‘อ่า...พี่ซิดนีย์นี่สมกับเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ผนวกเจ้าแห่งไอซีทีเลยนิ...ทันข่าว รวดเร็ว ฉับไวจริง ๆ’

เสียงแอบขบพี่ซิดนีย์ดังลั่นในใจ ก่อนจะกระดึ๊บ ๆ มาส่ายหน้ายึก ๆ ยัก ๆ สะบัดผมสั้น ๆ ไปมาผ่านหน้าเวบแคมประดุจกำลังโชว์แคมฟรอก

“พี่ติงติง อาบน้ำเร็ว มัวแต่เล่นหูเล่นตากะพี่ซิดนีย์อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็สาย แล้วแดดก็ร้อน เดี๋ยวผิวทิคเก็ตจะเข้มหล่อกว่าเดิม จะหาว่าทิคเก็ตไม่เตือน”

เสียงตะแหง่ว ๆ ดังขึ้นมาอีกครั้งหลังจากเข้าไปปล่อยโลมาตัวโต ๆ และขัดสีฉวีวรรณออกมาจนหอมกรุ่นเรียบร้อยแล้ว

OoO’...จากนั้นเจ้าของใบหน้าเอ๋อ ๆ เบลอ ๆ เดินถือผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำและหายไป...กลับออกมาอีกครั้งทุกคนก็พร้อมท่องราตรี เอ๊ย ! ท่องเขาลำเนาไพรกัน...

************** (^o^) ***************

หกชีวิตหลังจากอิ่มหนำสำราญพุงกันทุกคนแล้ว ก็โยกย้ายส่ายขบวนไปตามโปรแกรมเที่ยว คือ ร้านร้อยอันพันอย่าง...ตามด้วยการแวะไหว้พระธาตุจอมทอง...และแล้วความฮาที่ไม่น่าขำก็บังเกิดขึ้นในรถนิสสันรุ่นโบฯ ที่มีไอ้หนูกุ๊กก้ารับหน้าที่เป็นพลขับเช่นเดิม

จุดมุ่งหมายปลายทางต่อจากนี้ของหกชีวิตคือ การแวะไหว้พระธาตุจอมทอง แต่ด้วยระยะทางแม้ไม่ไกลนัก แต่ก็ทำให้หนึ่งชีวิตที่นั่งอยู่ในรถเริ่มรู้สึกทุรนทุราย เพราะความอยากที่สะสมมาตั้งแต่ลงรถทัวร์ จนนี่ล่วงเลยเวลามาเกือบเที่ยง

“เฮ้ ! กาแฟสด น่าลองวะ ถ้าเจอแวะหน่อยนะกุ๊กก้า”

ในที่สุดความทุรนทุรายอยากคาเฟอีนของติงติงก็เริ่มขึ้น เมื่อเหลือบเป็นป้ายกาแฟสดอยู่ริมทางยามเมื่อรถขับใกล้ถึง
“อือ ได้พี่เจอแล้วจะแวะ” เสียงตอบรับเรื่อย ๆ ดังมาจากคนขับ ส่วนคนฟังก็ยิ้มกริ่ม พลางนึกในใจ

‘เดี๋ยวก็ได้ซดคาเฟอีนแล้ว รอหน่อยนะเจ้ากระเพาะกลม ๆ เอ๋ย’

บรืน...บรืน...บรืน...

รถนิสสันสีแดงแล่นผ่านร้านกาแฟสดริมทางไปอย่างหน้าตาเฉย โดยมีสายตามองละห้อย และคำพูดน้ำเสียงอ่อย ๆ ของคนอยากคาเฟอีนดังทิ้งท้าย...

“ไม่แวะร้านกาแฟสดร้านนี้เหรอน้องกุ๊กก้า”
(= _ =’)

“...” เงียบไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อที่ท่านเอ่ยด้วย

บรืน...บรืน...บรืน...

รถนิสสันคันเดิมสีเดิมแล่นฉิวผ่านศาลากาแฟสดริมทางไปแบบชิวชิว โดยมีสายตาสองคู่ของทิคเก็ตและอัลฟ่ามองศาลากาแฟสดริมทางอย่างนึกเสียดาย แต่พี่ติงติงกลับมองและนึกในใจขึ้นมาว่า

‘อดอีกแล้วหนอตู’ ก่อนจะพูดน้ำเสียงเอาจริงเอาจังแต่ดังแผ่วเบาจนคนฟังอย่างกุ๊กก้านึกว่าเป็นการพูดเล่น ๆ

“ศาลากาแฟริมทางนั่นน่ะ กุ๊กก้าน่าจะพาพี่ ๆ แวะชิมนะ” (o_o’)

“...” เงียบไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อที่ท่านเอ่ยอีกครั้ง มีเพียงรอยยิ้มเย็น ๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก

บรืน...บรืน...บรืน...แค็ก ๆ

เสียงดังจากรถนิสสันคันเก่งคันเดิมที่แล่นฉิวผ่านบ้านกาแฟสดริมทาง แต่คราวนี้ทำเสียงเหมือนท่อไอเสียสะอึก เล่นเอาคนเสี้ยนคาเฟอีนยิ้มร่า

‘เย้ รถกระตุกแสดงว่าน้องตูจะพาแวะชิมกาแฟสด เย้เย้’

พลันความคิดและเสียงร่าเริงในใจก็ต้องมลายลง เมื่อรถคันเก่งแล่นผ่าน และคนขับยังคงจดจ่อที่จะพาพี่ ๆ มุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่วางไว้โปรแกรม

“เอ่อ กุ๊กก้าครับ ไม่พาพี่ติงติงแวะชิมกาแฟสดหน่อยเหรอ นี่พี่ติงติงเขาเสี้ยนกาแฟมาตลอดทางเลยนะครับ” เสียงเข้มๆ แกมรอยยิ้มหน้าเป็นของอัลฟ่าเป็นผู้เอ่ยขึ้น

...เอ่ยก่อนที่ไอ้เพื่อนยากจะลงแดงและชักแหงก ๆ ในรถ หลังจากมองเห็นใบหน้ากลม ๆ เริ่มซีดเซียว ริมฝีปากเริ่มแห้ง มือเริ่มสั่น นัยน์ตาเริ่มส่อแววกริ้วอย่างเหลืออด

“ฮ้า จริงเหรอพี่ กุ๊กก้านึกว่าตลอดทางน่ะ พวกพี่ ๆ พูดเล่นกันนะนั่น เอ่อ งั้นเดี๋ยวเจอแล้วเราแวะเลยนะพี่ ๆ”

น้ำเสียงตื่นตระหนกแกมขอลุแก่โทษก็ดังขึ้นทันทีที่เสียงเข้ม ๆ ของอัลฟ่าเอ่ยจบลง พลางส่งสายตามองผ่านกระจกส่องหลังดูใบหน้าของพี่ ๆ ทุกคน โดยเฉพาะคนที่อดได้ลิ้มชิมกาแฟมาตลอดทางจนเหลืออีกไม่กี่กิโลเมตรก็ถึงที่หมาย...ที่นั่งหน้าหงิกเพราะความอยากเริ่มเข้าขั้นรุนแรง

ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งก็ไม่รู้...ครั้นไอ้หนูกุ๊กก้าอยากพาพี่ ๆ แวะร้านกาแฟสด...แต่เจ้ากรรม...ให้ตายเถอะ...ตั้งแต่รับทราบว่าพี่ ๆ ไม่ได้พูดเล่นสักกะติ๊ดก็ไม่ปรากฏร้านกาแฟสดให้เห็นอีกเลย...เห็นแต่ห้างโลตัส เอ็กซ์เพรส

เจ้าของรถนิสสันนำเที่ยวสีแดงคันเก่งก็พาเลี้ยวชะแวบเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของห้าง ก่อนจะหันหน้ามาส่งสายตาเศร้า ๆ อย่างสำนึกผิดให้พวกพี่ ๆ หน้าเป็นที่นั่งอยู่ข้างหลัง แต่หารู้ไม่ว่า แววตาที่พยายามสื่อออกมาในตอนนี้ มีพี่อีกคนหาได้รับรู้ รับเห็นด้วยไม่...อารามเพราะจดจ่ออยู่กับการเดินไปหากาแฟซดเพิ่มคาเฟอีนให้กับร่างกายอย่างเดียว...

“ฮะฮ่า กั่ก ๆ ก๊าก ในที่สุดไอ้คนอยากคาเฟอีนสดก็ได้ชิมสมใจ แต่ดั๊นเป็นกาแฟดังกิ้น โดนัทแทน...โอ๊ย น่าสงสารเพื่อนตูจริ๊งจริง ฮ่าฮ่า”

เสียงพูดกลั้วเสียงหัวเราะดังลั่นตั้งแต่ลงจากรถจนกระทั่งเดินเข้าไปในห้าง โดยมีสายตาของคนถูกหัวเราะเยาะมองตามอย่างคนกึ่งโมโหกึ่งขำ

“(+_+’) นั่นสินะ มาถึงเชียงใหม่ทั้งที แทนที่จะได้ชิมกาแฟสดรสหอมกรุ่น ที่ไหนได้ หนีไม่พ้นกาแฟดังกิ้นจนได้ ฮะ ๆๆ ไอ้เราก็พูดปาว ๆ เจ้ากุ๊กก้าก็คิดว่าพวกเราพูดเล่นซะงั้น เฮ้อ! ตูละเชื่อเขาเลย”

“เพราะอย่างนี้แหละ ทิคเก็ตถึงเรียกกุ๊กก้าว่า ไอ้หนูมาดนิ่งแต่ไหลลึก ชอบทำเนียนนิ่ง ๆ ใส ๆ แบ๊ว ๆ ที่ไหนได้พอเอาคืน เป็นไงล่ะ พี่ ๆ กับทิคเก็ตจ๋อยเลย...” ทิคเก็ตละสายตาจากขนมดังกิ้นขึ้นมามองพี่ ๆ พร้อมกับเอ่ยเสริมและทำไม้ทำมือประกอบ ก่อนจะหันกลับไปจ่ายเงินค่าขนม

หลังจากเพิ่มคาเฟอีนให้แก่ร่างกายมีพลังแล้ว เสียงคนเดิมก็ดังร่าขึ้นมาทันที

“ได้กาแฟสมใจอยากและหายเสี้ยนแล้ว ส่วนทุกคนก็ได้ขนมครบแล้ว ปะ Let’s go ไปไหว้พระธาตุกัน”

บรืน...บรืน...บรืน...

จากนั้นเสียงรถนิสสันนำเที่ยวคันสีแดงเจ้าเก่าก็ค่อย ๆ แล่นออกจากลานจอดรถ มุ่งหน้าสู่พระธาตุจอมทองต่อไป...

*** เรื่องราวเล่านี้ยังไม่จบ...ยังมีภาคต่อที่มาพร้อมกับอาการเฮและความฮาที่อาจทำให้คนอ่านยิ้มกว้าง แต่คนถูกพาดพิงถึงอาจยิ้มแห้งก็เป็นได้ขอรับพี่น้อง ****

๒ ความคิดเห็น:

Another sunny day กล่าวว่า...

555 อ่านไป ฮาไป อิอิ
มาด เรียบ ๆ นิ่งๆ แต่ฮาสะใจ คิคิ

โอ้..ลันลา... เค้าจาดู โนบิตะ โชว์ อีก อิอิ

มาต่อเร็ว ๆ น๊า...
กินกาแฟแล้ว จะได้ฮากันอีก
ก๊ากกกกก....

Perodua กล่าวว่า...

โอ๊ย...สะจายโว๊ย....ฮะฮ่า..เจอฤทธิ์ไอ้กุ๊กก้า..ฮ่าๆๆๆ เอิ๊ก..เอิ๊ก สะจาย...วู้ววว.....

ขอทับถม..คนช้มแล้วเราต้องกระทืบซ้ำ ฮะฮ่าๆๆๆๆๆ ฮิ้ววววว....


(ขอมาโหมดคนซ้ำเติมนะค้าบบบ..)

ค้นของเก่า